วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ลดต้นขาสู่ขาเรียวสวย

ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยปรารถนาที่จะเป็นเจ้าของขาเรียวสวย เสน่ห์แห่งสรีระอีกส่วนที่ใครๆ ก็ต้องการ

ขาจะเรียวสวยหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ตั้งแต่ลักษณะโครงสร้างของร่างกาย การควบคุมน้ำหนัก การออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อดู firm อยู่เสมอหรือไม่ หญิงใดได้ฉายา ขาใหญ่ ย่อมมิเป็นที่ถูกใจอย่างยิ่งยวด มาเริ่มบริหารต้นขากันด้วยท่าต่างๆ ที่คุณสามารถบริหารเองได้ที่บ้านกันดีกว่า


ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจสรีระของต้นขา ซึ่งประกอบไปด้วย ต้นขาด้านหน้าเป็นกล้ามเนื้อมัดใหญ่ที่มีส่วนในการใช้เดิน ต้นขาด้านข้างเป็นเนื้อ และต้นขาด้านหลังเป็นแหล่งสะสมของไขมัน การที่จะลดต้นขาให้ firm และได้สัดส่วนเรียวงามขึ้นควรจะบริหารทั้ง 3 ส่วนเท่าๆ กัน นอกจากผลที่ได้กับต้นขาแล้ว คุณยังจะได้รับผลข้างเคียงต่อหน้าท้องที่จะลดตามไปด้วยในตัว

ก่อนที่จะเข้าสู่ท่าการบริหารต้นขาคุณจะต้องปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดในการ warm up ร่างกายทุกครั้ง เพื่อป้องกันและหลีกเลี่ยงอาการบาดเจ็บ

วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

Weight training กับการเสริมสร้างความแข็งแรง (strength) และการกระชับกล้ามเนื้อ (tone)

พูดถึงการออกกำลังกายแบบ weight training แล้วผู้หญิงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยกล้า หรือไม่ก็ปฏิเสธไปเลย ส่วนมากมักคิดว่าถ้าออกกำลังกายแบบนี้แล้วจะยิ่งทำให้แขน-ขาใหญ่ขึ้นไม่ใช่เล็กลง เหมือนที่ผู้ชายส่วนใหญ่ออกกำลังกายแบบ weight training เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้น เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องหรอกค่ะ
มาทำความเข้าใจกันใหม่ดีกว่าว่า การออกกำลังกายแบบ weight training ในผู้หญิงส่วนใหญ่แล้วจะช่วยในเรื่องของการเสริมสร้างความแข็งแรง (strength) และกระชับ (tone) กล้ามเนื้อมากกว่าการเสริมสร้างขนาดของกล้ามเนื้อให้ใหญ่ขึ้น (hypertrophy) เพราะโดยพื้นฐานที่สำคัญของลักษณะโครงสร้างร่างกาย และฮอร์โมนในผู้หญิงมีความแตกต่างจากผู้ชาย เพศชายจะมีฮอร์โมนที่เรียกว่า testosterone ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่แสดงออกถึงความเป็นชาย เช่น เสียงห้าวใหญ่ มีขนขึ้นตามร่างกาย และขณะเดียวกันช่วยทำให้ผู้ชายมีรูปร่างที่สูงใหญ่ กล้ามเนื้อมีขนาดใหญ่ และแข็งแรงค่ะ
เพราะฉะนั้นเวลาผู้ชายออกกำลังกายแบบ weight training กล้ามเนื้อจะมีการสร้างให้ใหญ่ขึ้นได้ง่าย และดีกว่า ส่วนเพศหญิงมีฮอร์โมนที่เรียกว่า estrogen ซึ่งฮอร์โมนชนิดนี้จะบ่งบอกถึงลักษณะความเป็นผู้หญิง ที่สำคัญฮอร์โมนชนิดนี้ไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อของผู้หญิงมีขนาดใหญ่ขึ้นจากการออกกำลังกายแบบ weight training เหมือนผู้ชายนะครับ แต่จะมีผลช่วยในเรื่องของการทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ออกกำลังกายในลักษณะนี้ มีความแข็งแรง และกระชับมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่น่ามอง สังเกตดูได้จากดารา นางแบบ หรือนักร้องที่ดังๆ ของต่างประเทศจะต้องมีครูฝึกคอยแนะนำวิธีการการออกกำลังกายเพื่อรักษารูปร่างให้ดูดีอยู่เสมอ และหนึ่งในวิธีการนั้นคือการออกกำลังกายแบบ weight training

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

วิธีที่เหมาะสมที่สุดในการลด และเผาผลาญไขมันออกจากร่างกาย คือ

การออกกำลังกายแบบ weight training ร่วมกับการออกกำลังกายแบบบริหารหัวใจ หรือที่เรียกว่า aerobic exercise ควบคู่กันไป เช่นการเดิน วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือเข้าร่วมออกกำลังกายใน aerobic class ต่างๆ เป็นต้น


หลังจากออกกำลังกายแบบ weight training ไปได้ประมาณ 4 - 6 สัปดาห์ คุณจะรู้สึกถึงความตึงตัว และการกระชับของกล้ามเนื้อในส่วนที่บริหารร่างกายไป กางเกงหรือเสื้อผ้าที่สวมใส่จะเริ่มรู้สึกว่าใส่ได้ง่ายขึ้น ไม่คับหรืออึดอัดเหมือนตอนก่อนที่จะออกกำลังกาย บางคนอาจจะเริ่มไปรื้อค้นตู้เสื้อผ้า หยิบชุดสวยที่เคยใส่ออกมาใช้ได้อีกครั้งก็มี แต่อย่าเพิ่งแปลกใจนะครับ ถ้าในช่วงนี้น้ำหนักตัวจะลดลงเพียงเล็กน้อย (อย่างที่บอกไว้ครับ ให้ใจเย็นๆ) นี่เป็นเพียงก้าวแรกของการออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายของท่านกระชับได้สัดส่วน น้ำหนักตัวของคุณจะค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่องถ้าคุณมีการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอต่อไป

ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Health Today

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

การใช้ weight training เพื่อลดไขมันเฉพาะจุด (spot reduction)

ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า การออกกำลังกายเพื่อลดไขมันเฉพาะจุด (spot reduction) หรือในส่วนที่ต้องการนั้น จะสามารถใช้การออกกำลังกายในลักษณะของ weight training เพื่อให้ไขมันส่วนเกินในบริเวณนั้นลดลง หรือหมดไปได้ ความจริงไม่เป็นอย่างนั้นหรอกครับ เพราะการออกกำลังกายในลักษณะนี้จะช่วยในเรื่องของการกระชับ (tone) และเสริมสร้างความแข็งแรง (strength) ของกล้ามเนื้อดังที่กล่าวมาแล้ว มากกว่าผลของการลดหรือเผาผลาญไขมันในส่วนเกินนี้ออกไป ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ถ้าต้องการลดไขมันบริเวณเอว และหน้าท้อง ผู้หญิงส่วนใหญ่มักจะใช้วิธีการ sit-up ไม่ว่าจะใช้เครื่อง (weight machines) หรือลดน้ำหนักตัวเองในการออกกำลังกาย ทำกันเป็นร้อยร้อย หรือเป็นพันพันครั้งต่อวัน ไขมันในส่วนของเอว และหน้าท้องก็ไม่หายไปได้ นั่นเป็นเพราะร่างกายยังไม่ได้ใช้ไขมันส่วนเกินนี้มาเผาผลาญเป็นพลังงานออกไป แต่ถ้าถามว่ากล้ามเนื้อเอว และหน้าท้องแข็งแรงและกระชับขึ้นไม่ใช่หรือ คำตอบคือใช่แน่นอน แข็งแรงและกระชับขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

การบริหารเฉพาะส่วนช่วยละลายไขมันบริเวณนั้น ๆ ได้จริงหรือ?

คำถามนี้ถามกันมาบ่อยมาก ๆ ครับ ใน คลับลดความอ้วน เรียกได้ว่าต้องตอบกันแทบทุก ๆ สัปดาห์เลยแหละครับ ไม่ว่าจะเป็น ซิทอัพ ,จาน Twist, หรือแม้แต่กระทั่งห่วงฮุล่าฮูป ฯลฯ สามารถลดไขมันเฉพาะส่วนได้จริงหรือ?
คำตอบ คือ ไม่จริงนะ
สาเหตุหลักที่ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่า การซิทอัพ หรือการออกกำลังด้วยท่าใดท่าหนึ่งโดยเฉพาะ โดยเน้นไปที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย สามารถลดไขมันเฉพาะส่วนนั้น ๆ ได้ ทั้งนี้ก็เพราะว่าการโฆษณาของสินค้าอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อใช้บริหารเฉพาะส่วน ซึ่งมักจะใช้นายแบบ และ นางแบบหุ่นดี ๆ มาเป็นแบบในการถ่ายทำ และกล่าวอ้างถึงสรรพคุณของการบริหารเฉพาะส่วนว่าสามารถช่วยลดไขมันเฉพาะส่วนได้
ได้ผลครับ คนส่วนใหญ่เชื่อเช่นนั้นจริง ๆ สำหรับประเด็นดังกล่าวนักสรีระวิทยา ชื่อว่า Frank Katch และพวกพ้อง แห่ง University of Massachusetts in Amherst ได้ทำการลดลองชิ้นหนึ่งขึ้นมา
โดยก่อนการทดลองมีการวัดอัตราส่วนไขมันตามส่วนต่าง ๆ ของกลุ่มทดลอง ซึ่งคือนักเรียน 19 คน หลังจากนั้นให้กลุ่มทดลอง ทำการ ซิทอัพ ทั้งสิ้น 5,004 ครั้ง ตลอดระยะเวลา 27 วัน
เมื่อการทดลองสิ้นสุดลง ผลการทดลองให้ผลว่า ไขมันบริเวณหน้าท้องลดลงจริง แต่ไขมันบริเวณอื่น ๆ ของร่างกายก็ลดลงในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กันกับบริเวณหน้าท้อง
การทดลองสรุปว่า มนุษย์เราไม่สามารถที่จะออกกำลังด้วยท่าใดท่าหนึ่งโดยเฉพาะเพื่อลดไขมันเฉพาะส่วนได้ เวลาร่างกายเผาผลาญไขมัน ร่างกายจะดึงไขมันจากทุกส่วนของร่างกายมาเป็นพลังงาน จะดึงมาจากส่วนไหน มากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะพันธุกรรม
จริงอยู่บางท่านที่ออกกำลังกายด้วยการออกกำลังกายเฉพาะส่วนแล้วรู้สึกว่าสัดส่วนลดลง แต่ก็มองข้ามไปว่าไขมันบริเวณอื่นๆ ก็ลดลงในอัตราส่วนที่เท่า ๆ กัน
ที่กล่าวมาทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าการบริหารร่างกายเฉพาะส่วนไม่ดีนะครับ เพียงแต่ทุกครั้งที่ท่านบริหารร่างกายเฉพาะส่วน ให้คิดอยู่เสมอว่าท่านกำลังบริหารกล้ามเนื้อที่อยู่ใต้ชั้นผิวหนังและไขมันลงไป ซึ่งส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวกระชับและได้สัดส่วนมากขึ้น และเมื่อไขมันที่ปกคลุมอยู่หายไป รูปร่างของท่านก็จะสวยงามขึ้น
ดังนั้นแล้วท่านไม่จำเป็นจะต้องหักโหมกับการบริหารร่างกายเฉพาะส่วนมากนักก็ได้ เช่น ซิทอัพ วันละหลายร้อยครั้ง เพราะนั้นนอกจากจะไม่ได้ช่วยทำให้ไขมันของท่านในบริเวณดังกล่าวหายไปอย่างมากมายตามจำนวนครั้งที่ท่านทำแล้ว ในทางตรงกันข้าม การหักโหมกับการบริหารร่างกายเฉพาะส่วนนั้น กลับกลายเป็นการสร้างความเครียดให้กล้ามเนื้อมากจนเกินไป ซึ่งส่งผลร้าย มากกว่าผลดี กล่าวคือ กล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าวจะพัฒนาช้ากว่าปกติ หรือ หนักไปกว่านั้นอาจจะทำให้ฮอร์โมนเครียด (cortisol) เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งส่งผลให้มีผลเสียตามมาอีกมากมาย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การแตกสลายตัวของกล้ามเนื้อ
เมื่อกล้ามเนื้อหาย การเผาผลาญก็ลดน้อยลง ไขมันก็ลดช้าลงนะ เพราะส่วนใหญ่แล้วร่างกายใช้กล้ามเนื้อในการเผาผลาญพลังงานออกกำลังกายเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ควรจะทำให้พอดี ๆ นะ
อ้างอิงKatch, F.,P. Clarkson, W. Knoll, et al.,1984, Preferential effects of abdominal exercise training on regional adipose cell size, Research Quart Exercise Sport, Vol. 55, p.249Clark, N., 1997, Sport Nutrition Guidebook : Eating to Fuel Your Active Lifestyle, Human Kinetic, USA.
http://stress.about.com/od/stresshealth/a/cortisol.htm

วันอังคารที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ท่าวิ่งที่ถูก และรองเท้าที่ดีกับการวิ่ง

ท่าวิ่งที่ถูกไม่ควรวิ่งลงปลายเท้า เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหน้าแข้ง กล้ามเนื้อน่องและเอ็นร้อยหวายอักเสบได้ง่าย เวลาวิ่ง ควรใช้แรงจากกล้ามเนื้อโคนขา มากกว่าที่ปลายเท้า เพราะเป็นกล้ามเนื้อใหญ่ที่แข็งแรง และมีพลังมากวิ่งยาวจนกล้ามเนื้อปวดเมื่อยอาทิตย์ละครั้ง เนื่องจากกล้ามเนื้อจะใช้พลังงานจากไกลโคเจนในการออกกำลังกาย



มีกฎอยู่ว่า ถ้าเราใช้ไกลโคเจนหมด กล้ามเนื้อจะเริ่มสะสมใหม่ ซึ่งจะเก็บสะสมไว้มากกว่าคราวที่ผ่านมา นั่นก็หมายความว่า คราวหน้าเราจะวิ่งได้ไกลขึ้น จะเป็นอย่างนี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งการวิ่งจนปวดกล้ามเนื้อแบบสุดๆ คือ อาการของไกลโคเจนหมดนั่นเองวิ่งเร็วอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง


การวิ่งเร็วๆ จะทำให้ร่างกายได้ทำงานหนัก ร่างกายจะได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ ทำให้ต้องไปใช้วิธีให้พลังงานแบบไม่ใช้ออกซิเจน วิธีนี้จะทำให้เส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งกลไกนี้ทำให้ป้องกันการเป็นโรคหัวใจได้เวลาวิ่งให้หายใจ โดยใช้กระบังลม เพราะการหายใจที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวันนั้น คือ การหายใจตื้น และสั้น ซึ่งไม่เพียงพอ สำหรับการวิ่ง ดังนั้น


จึงต้องใช้กระบังลมเข้าช่วย เพื่อให้มีการหายใจที่ลึกและยาว เราสามารถฝึกหายใจโดยใช้กระบังลมได้ โดยนอนหงาย เอาหนังสือวางไว้บนหน้าท้อง แล้วสังเกตว่า ถ้าหนังสือขยับขึ้น ก่อนสูดลมหายใจเข้า ลดลงตอนหายใจออก เป็นอันว่าใช้ได้ และควรยืดกล้ามเนื้อ โดยให้ยืดวันละ 2 ครั้ง


เพื่อเป็นการคลายกล้ามเนื้อ และลดอาการบาดเจ็บขณะวิ่งการวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือวิ่งเหยาะ นอกจากจะช่วยให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นแล้ว ยังช่วยให้มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีความอดทน พร้อมกับยังสร้างระเบียบวินัยให้กับตัวเอง เป็นความสำเร็จเล็กๆ ที่สร้างได้เอง อย่างน้อยก็เป็นการก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งรู้อย่างนี้แล้ว รีบไปหยิบรองเท้าคู่ใจมาใส่ แล้วออกวิ่งไป พร้อมกับคนที่คุณรัก และอยากอยู่ด้วยกัน แบบมีความสุขไปอีกนานแสนนาน




รองเท้าที่ดี


สำหรับการวิ่งเพื่อสุขภาพบริเวณส่วนบนของหุ้มส้น ควรเว้นตรงกลาง เพื่อป้องกันไม่ให้กดเอ็นร้อยหวายด้านข้างของบริเวณหุ้มส้นทั้งสองด้าน จะต้องแข็งแรงพอที่จะปกป้องการบิดหมุนของส้นเท้า เพื่อให้เกิดความมั่นคงเวลาวิ่งด้านหน้าของรองเท้า ตรงบริเวณนิ้วหัวแม่เท้า จะต้องนูนสูงขึ้น(อย่างน้อย 1/2 นิ้ว)


เพื่อป้องกันไม่ให้นิ้ว และเล็บหัวแม่เท้าถูกกดเบียด ไม่เช่นนั้นอาจทำให้เลือดออกใต้เล็บได้ลิ้นรองเท้า ต้องบุให้นุ่ม และปิดส่วนบนฝ่าเท้าได้หมด เพื่อป้องกันการเสียดสี และระคายเคืองของนิ้วเท้าเชือกผูกรองเท้า ไม่ควรยาวจนเกินไป เวลารัดไม่ควรแน่น หรือหลวมจนเกินไปบริเวณส้นรองเท้า จะต้องฝานให้เป็นรูปมน เพื่อช่วยให้การลงของเท้า เป็นไปได้สะดวกและเร็วขึ้น ที่ส้นเท้าจะต้องมีลิ้นที่นุ่มพอสมควร เสริมในส้น เพื่อช่วยกลืนแรงขณะส้นเท้ากระแทกกับพื้นแกนยาวของรองเท้า อาจเป็นสันตรง หรือหักโค้งเล็กน้อยพื้นรองเท้าบริเวณกึ่งกลางจะต้องหักงอได้ เพื่อช่วยรองรับอุ้งเท้าพื้นรองเท้า จะต้องมีปุ่มสตั๊ค หรือดอกยาง เพื่อไม่ให้ลื่น และกลืนแรงสะท้อนพื้นภายในรองเท้าตรงบริเวณอุ้งเท้า ต้องเสริมให้นูนสูง ให้เข้ารูปพอดีกับอุ้งเท้า เพื่อช่วยป้องกันการบาดเจ็บบริเวณส้นเท้า และการอักเสบของพังผืดกระดูกฝ่าเท้า



ที่มา : วารสารสมาพันธ์ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพไทย